The Dhammapada ( Thai, Pali,English and German) >>>Einleitung<<<
๑. หมวดคู่ – The Pairs | Yamaka – Spruch-Paare |
๒. หมวดไม่ประมาท – Heedfulness | Appamāda – Ernst und Eifer |
๓. หมวดจิต – The Mind | Citta – Denken |
๔. หมวดดอกไม้ – The Flowers | Puppha – Blumen |
๕. หมวดคนพาล – The Fool | Bāla – Toren |
๖. หมวดบัณฑิต – The Wise | Pandita – Der Weise |
๗. หมวดพระอรหันต์ – The Worthy | Arahata – Heilige |
๘. หมวดพัน – The Thousands | Sahassa – Tausend |
๙. หมวดบาป – Evil | Pāpa – Übel-Böses |
๑๐. หมวดลงทัณฑ์ – Punishment | Danda – Gewalttat |
๑๑. หมวดชรา – Old Age | Jarā – Altern |
๑๒. หมวดตน – The Self | Atta – Sich Selbst |
๑๓. หมวดโลก – The World | Loka – Welt |
๑๔. หมวดพระพุทธเจ้า – The Enlightened One | Buddha – Die Erwachten |
๑๕. หมวดความสุข – Happiness | Sukha – Glück |
๑๖. หมวดความรัก – Affections | Piya – Angenehm |
๑๗. หมวดความโกรธ – Anger | Kodha – Zorn und Ärgernis |
๑๘. หมวดมลทิน – Impurity | Mala – Unreinheit |
๑๙. หมวดเที่ยงธรรม – The Just | Dhammattha – Gerechte |
๒๐. หมวดทาง – The Path | Magga – Der Pfad |
๒๑. หมวดเบ็ดเตล็ด – Miscellaneous | Pakinnaka – Vermischtes |
๒๒. หมวดนรก – Hell | Niraya – Hölle |
๒๓. หมวดช้าง – The Elephant | Nāga – Der Elefant |
๒๔. หมวดตัณหา – Craving | Tanhā – Der Drang |
๒๕. หมวดภิกษุ – The Monk | Bhikkhu – Bhikkhu |
๒๖. หมวดพราหมณ์ – The Brahmana | Brāhma – Der Brahmane |
Quelle : Palikanon.com |
๑. หมวดคู่ THE PAIRS
๑. มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฎฺฐา มโนมยา มนสา เจ ปทุฎฺฌฐน ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทํ ฯ ๑ ฯ
ใจเป็นผู้นำสรรพสิ่ง ใจเป็นใหญ่ (กว่าสรรพสิ่ง) สรรพสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าพูดหรือทำสิ่งใดด้วยใจชั่ว ความทุกข์ย่อมติดตามตัวเขา เหมือนล้อหมุนเต้าตามเท้าโค
Mind foreruns all mental conditions, Mind is chief, mind-made are they; If one speak or acts with a wicked mind, Then suffering follows him Even as the wheel the hoof of the ox.
๒. มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฎฺฐา มโนมยา มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนปายินี ฯ ๒* ฯ
ใจเป็นผู้นำสรรพสิ่ง ใจเป็นใหญ่ (กว่าสรรพสิ่ง) ถ้าพูดหรือทำสิ่งใดด้วยใจบริสุทธิ์ ความสุขย่อมติดตามเขา เหมือนเงาติดตามตน
Mind forerunr all mental conditions, Mind is chief,mind-made are they; If one speaks or acts with a pure mind, Then happiness follows him Even as the shadow that never leaves.
* พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐเขียน อนุปายินี แปลว่า ติดตาม แต่ฉบับของสมาคมบาลีปกรณ์เขียน อนปายินี (อนฺ+อป+อี) แปลว่า ไม่พราก หรือติดตามนั่นแล ในที่นี้ข้าพเจ้าถือตามฉบับหลัง
๓. อกฺโกฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ เม เข จ ตํ อุปนยฺหนฺติ เวรํ เตสํ น สมฺมติ ฯ ๓ ฯ
ใครมัวคิดอาฆาตว่า “มันด่าเรา มันทำร้ายเรา มันเอาชนะเรา มันขโมยของเรา” เวรของเขาไม่มีทางระงับ
‘He abused me, he beat me, He defeated me, he robbed me’ In those who harbour such thoughts Hatred never ceases.
๔. อกฺโกฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ มํ เข จ ตํ นูปนยฺหนฺติ เวรํ เตสูปสมฺมติ ฯ ๔ ฯ
ใครไม่คิดอาฆาตว่า “มันด่าเรา มันทำร้ายเรา มันเอาชนะเรา มันขโมยของเรา” เวรของเขาย่อมระงับ
‘Heabused me, he beat me, He defeated me, he robbed me’ In those who harbour not such thoughts Hatred finds its end.
๕. น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน ฯ ๕ ฯ
แต่ไหนแต่ไรมา ในโลกนี้ เวรไม่มีระงับด้วยการจองเวร มีแต่ระงับด้วยการไม่จองเวร นี้เป็นกฎเกณฑ์ตายตัว
At any time in this world, Hatred never ceases by haterd, But through non-hatred it ceases, This is an eternal law.
๖. ปเร จ น วิชานนฺติ มยเมตฺถ ยมามเส เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ ตโต สมฺมนฺติ เมธคา ฯ ๖ ฯ
คนทั่วไปมักนึกไม่ถึงว่า ตนกำลังพินาศ เพราะวิวาททุ่มเถึยงกัน ส่วนผ้ร้ความจริงเช่นนั้น ย่อมไม่ทะเลาะกันอีกต่อไป
The common people know not That in this Quarrel they will perish, But those who realize this truth Have their Quarrels calmed thereby.
๗. สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทฺริเยสุ อสํวุตํ โภชนมฺหิ อมตฺตญฺญู กุสีตํ หีนวีริยํ ตํ เว ปสหตี มาโร วาโต รุกฺขํว ทุพฺพลํ ฯ ๗ ฯ
มารย่อมสามารถทำลายบุคคล ผ้ตกดป็นทาสของความสวยงาม ไม่ควบคุมการแสดงออก ไม่ร้ประมาณในโภชนาหาร เกียจคร้านและอ่อนแอ เหมือนลมแรงพัดโค่นต้นไม้ที่ไม่แข็งแรง
As the wind overthrows a weak tree, So does Mara overpower him Who lives attached to sense pleasures Who lives with his senses uncontrolled, Who knows not moderation in his food, And who is indolent and inactive.
๘. อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทฺริเยสุ สุสํวุตํ โภชนมฺหิ จ มตฺตญฺญู สทฺธํ อารทฺธวีริยํ ตํ เว นปฺปสหตี มาโร วาโต เสสํว ปพฺพตํ ฯ ๘ ฯ
มารย่อมไม่สามารถทำลายบุคคล ผู้ไม่ตกเป็นทาสของความสวยงาม รูจักควบคุมการแสดงออก รู้ประมาณในโภชนาหาร มีศรัทธา และมีความขยันหมั่นเพียร เหมือนลมไม่สามารถพัดโค่นภูเขา
As the wind does not overthrow a rocky mount, So Mara indeed does not overpower him Who lives unattached to sense pleasures, Who lives with his senses well-controlled, Who knows moderation in his food, And who is full of faith and high vitality.
๙. อนิกฺกสาโว กาสาวํ โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ อเปโต ทมสจฺเจน น โส กาสาวมรหติ ฯ ๙ ฯ
คนที่กิเลสครอบงำใจ ไร้การบังคับตนเองและไร้สัตย์ ถึงจะครองผ้ากาสาวพัสตร์ ก็หาคู่ควรไม่
whosoever, not freed from defilements, Without self-control and truthfulness, Should put on the yellow robe- He is not worthy of it.
๑๐. โย จ วนฺตกสาวสฺส สีเลสุ สุสมาหิโต อุเปโต ทมสจฺเจน ส เว กาสาวมรหติ ฯ ๑๐ ฯ
ผู้หมดกิเลสแล้ว มั่นคงในศีล รู้จักบังคับตนเอง และมีสัตย์ ควรครองผ้ากาสาวพัสตร์แท้จริง
But he who discared defilements, Firmly established in moral precepts, Possessed of self-control and truth, Is indeed worthy of the yellow robe.
๑๑. อสาเร สารมติโน สาเร จ อสารททสฺสิโน เต สารํ นาธิคจํฉนฺติ มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา ฯ ๑๑ ฯ
ผู้ใดเห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ เห็นสิ่งที่เป็นสาระ ว่าไร้สาระ ผู้นั้นมีความคิดผิดเสียแล้ว ย่อมไม่ประสบสิ่งที่เป็นสาระ
In the unessential they imagine the essential, In the essential they see the unessential; They who feed on wrong thoughts as such Never achieve the essential.
๑๒. สารญฺจ สารโต ญตฺวา อาสารญฺจ อสารโต เต สารํ อธิคจฺฉนฺติ สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา ฯ ๑๒ ฯ
ผู้ที่เข้าใจสิ่งที่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ และสิ่งที่ไร้สาระว่าไร้สาระ มีความคิดเห็นชอบ ย่อมประสบสิ่งที่เป็นสาระ
Knowing the essential as the essential, And the unessential as the unessential, They who feed on right thoughts as such Achieve the essential.
๑๓. ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ วุฎฺฐิ สมติวิชฺฌติ เอวํ อภาวิคํ จิตฺตํ ราโค สมติวิชฺฌติ ฯ ๑๓ ฯ
เรือนที่มุงไม่เรียบร้อย ฝนย่อมไหลย้อยเข้าได้ ใจที่ไม่อบรมฝึกหัด ราคะกำหนัดย่อมครอบงำ
Even as rain into an ill-thatched house, Even so lust penetrates an undeveloped mind.
๑๔. ยถา อคารํ สุจฺฉนฺนํ วุฎฺฐิ น สมติวิชฺฌติ เอวํ สุภาวิตํ จิตฺตํ ราโค น สมติวิชฺฌติ ฯ ๑๔ ฯ
เรือนที่มุงเรียบร้อย ฝนย่อมไหลย้อยเข้าไม่ได้ ใจที่อบรมเป็นอย่างดี ราคะไม่มีวันเข้าครอบงำ
Even as rain gets not into a well-thatched house, Even so lust penetrates not a well-developed mind.
๑๕. อิธ โสจติ เปจฺจ โสจติ ปาปการี อุภยตฺถ โสจติ โส โสจติ โส วิหญฺญติ ทิสิวา กมฺมกิลิฎฺฐมตฺตโน ฯ ๑๕ ฯ
คนทำชั่วย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ คนทำชั่วย่อมเศร้าโศกในโลกหน้า คนทำชั่วย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง คนทำชั่วย่อมเศร้าโศกเดือดร้อนยิ่งนัก เมื่อมองเห็นแต่กรรมชั่วของตน
Here he grieves, hereaafter he grieves, In both worlds the evil-doer grieves; He mourns, he is afflicted, Beholding his own impure deeds.
๑๖. อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ กตปุญฺโญ อุภยตฺถ โมทติ โส โมทติ ดส ปโมทติ ทิสฺวา กมฺมวิสุทฺธิมตฺตโน ฯ ๑๖ ฯ
คนทำดีย่อมร่าเริงในโลกนี้ คนทำดีย่อมร่าเริงในโลกหน้า คนทำดีย่อมร่าเริงในโลกทั้งสอง คนทำดีย่อมร่าเริง เบิกบานใจยิ่งนัก เมื่อมองเห็นแต่กรรมบริสุทธิ์ของตน
Here he rejoices, hereafter he rejoices, In both worlds the well-doer rejoices; He rejoices, exceedingly rejoices, Seeing his own pure deeds.
๑๗. อิธ ตปฺปติ เปจิจ ตปฺปติ ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ ปาปํ เม กตนิติ ตปฺปติ ภิยฺโย ตปฺปติ ทุคฺคตึ คโต ฯ ๑๗ ฯ
คนทำชั่วย่อมเดือดร้อนในโลกนี้ คนทำชั่วย่อมเดือดร้อนในโลกหน้า คนทำชั่ว ย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสอง เมื่อคิดได้ว่า ตนทำแต่กรรมชั่ว ตายไปเกิดในทุคติ ยี่งเดือดร้อนหนักขึ้น
Here he laments, hereafter he laments, In both worlds the evil-doer laments; Thinking; ‘Evil have I done’, thus he laments, Furthermore he laments, When gone to a state of woe.
๑๘. อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ กตปุญฺโญ อุภยตฺถ นนฺทติ ปุญฺญํ เม กตนฺติ นนิทติ ภิยฺโย นนฺทติ สุคตึ คโต ฯ ๑๘ ฯ
คนทำดีย่อมสุขใจในโลกนี้ คนทำดีย่อมสุขใจในโลกหน้า คนทำดีย่อมสุขใจในโลกทั้งสอง เมื่อคิดว่าตนได้ทำแต่บุยกุศล ย่อมสุขใจ ตายไปเกิดในสุคติ ยิ่งสุขใจยิ่งขึ้น
Here he is happy, hereafter he is happy, In both worlds the well-doer is happy; Thinking; ‘Good have I done’, thus he is happy, When gone to the state of bliss.
๑๙. พหุมฺปิ เจ สํหิตํ ภาสมาโน น ตกฺกโร โหติ นโร ปมตฺโต โคโปว คาโว คณยํ ปเรสํ น ภาควา สามญฺญสฺส โหติ ฯ ๑๙* ฯ
คนที่ท่องจำตำราได้มาก แต่มัวประมาทเสีย ไม่ทำตามคำสอน ย่อมไม่ได้รับผลที่พึงได้จากการบวช เหมือนเด็กเลี้ยงโค นับโคให้คนอื่นเขา
Though much he recites the Sacred Texts, But acts not accordingly, the heedless man is like the cowherd who counts others’kine; He has no share in religious life.
* สํหิต หมายถึง สํหิตา หรือคัมภีร์ว่าด้วยกฎสนธิของคำและวิธีสวด พระเวทให้ถูกต้องแบ่งเป็น ๓ คัมภีร์คือ ฤคเวทสํหิตา สามเวทสํหิตา และอถรรพเวทสํหิตา ภายหลังเพิ่มยชุรเวทสํหิตาอีก ๒ คัมภีร์ รวมเป็น ๕ พุทธศาสนายืมศัพท์นี้มาใช้ เมื่อเราไม่มีพระเวทอย่างพราหมณ์ คำนี้จึง หมายความเพียง ตำรา หรือคัมภีร์ศาสนา ส่วนพระอรรถกถาจารย์ให้ แปลว่า คำอันประกอบด้วยประโยชน์ ท่านคงคิดว่าคำนี้เขียน สหิตํ (ส + หิตํ) กระมัง
๒๐. อปฺปมฺปิ เจ สํหิตํ ภาสมาโน ธมฺมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี ราคญฺจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ สมฺมปฺปชาโน สุวิมุตฺตจิตฺโต อนุปาทิยาโน อิธ วา หุรํ วา ส ภาควา สามญฺญสฺส โหติ ฯ ๒๐ ฯ
ถึงจะท่องจำตำราได้น้อย แต่ประพฤติชอบธรรม ละราคะ โทสะ และโมหะได้ รู้แจ้งเห็นจริง มีจิตหลุดพ้น ไม่ยึดมั่น ถือมั่น ทั้งปัจจุบันและอนาคต เขาย่อมได้รับผลที่พึงได้จากการบวช
Though little he recites the Sacred Texts, But puts the precepts into practice, Forsaking lust, hatred and delusion, With rigth knowledge, with mind well freed, Cling to nothing here or hereafter, He has a share in religious life.
{gotop}
๒. หมวดไม่ประมาท HEEDFULNESS
๒๑. อปฺปมาโท อมตํปทํ ปมาโท มจฺจุโน ปทํ อปฺปมตฺตา น มียนฺติ เย ปมตฺตา ยถา มตา ฯ ๒๑ ฯ
ความไม่ประมาท เป็นทางอมตะ ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย ผู้ไม่ประมาท ไม่มีวันตาย ผู้ประมาท ถึงมีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนตายแล้ว
Heedfulness is the way to the Deathless; Heedlessness is the way to death. The heedful do not die; The heedless are like unto the dead.
๒๒. เอตํ วิเสสโต ญตฺวา อปฺปมาทมฺหิ ปณฺฑิตา อปฺปมาเท ปโมทนฺติ อริยานํ โคจเร รตา ฯ ๒๒ ฯ
บัณฑิตรู้ข้อแตกต่าง ระหว่างความประมาทกับความไม่ประมาท จึงยินดีในความไม่ประมาท อันเป็นแนวทางของพระอริยะ
Realzing this distinction, The wise rejoice in heedfulness, Which is the way of the Noble.
๒๓. เต ฌายิโน สาตติกา นิจฺจํ ทฬฺหปรกฺกมา ผุสนฺติ ธีรา นิพฺพานํ โยคกฺเขมํ อนุตฺตรํ ฯ ๒๓ ฯ
ท่านผู้ฉลาดเหล่านั้น หมั่นเจริญกรรมฐาน มีความเพียรมั่นอยู่เป็นนิจศีล บรรลุพระนิพพานอันเป็นสภาวะที่สูงส่ง อิสระจากกิเลสเครื่องผูกมัด
These wise, constantly meditative, Ever earnestly persevering, Attain the bond-free, supreme Nibbana.
๒๔. อุฎฺฐานวโต สติมโต สุจิกมฺมสฺส นิสสมฺมการิโน สญฺญตสฺส จ ธมฺมชีวิโน อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ ฯ ๒๔ ฯ
ยศย่อมเจริญแก่ผู้ขยัน มีสติ มีการงานสะอาด ทำงานด้วยความรอบคอบระมัดระวัง เป็นอยู่โดยชอบธรรม ไม่ประมาท
Of him who is energetic, mindeful, Pure in deed, considerate, self-restrained, Who lives the Dhamma and who is heedful, Reputation steadily increases.
๒๕. อุฎฺฐาเนนปฺปมาเทน สญฺญเมน ทเมน จ ทีปํ กยิราถ เมธาวี ยํ โอโฆ นาภิกีรติ ฯ ๒๕ ฯ
ด้วยความขยัน ด้วยความไม่ประมาท ด้วยความสำรวมระวัง และด้วยการข่มใจตนเอง ผู้มีปัญญาควรสร้างเกาะ (ที่พึ่ง) แก่ตนเอง ที่ห้วงน้ำ (กิเลส) ไม่สามารถท่วมได้
By diligence, vigilance, Restraint and self-mastery, Let the wise make for himself an island That no flood can overwhelm.
๒๖. ปมาทมนุยุญฺชนติ พาลา ทุมฺเมธิโน ชนา อปฺปมาทญฺจ เมธาวี ธนํ เสฎฺฐํว รกฺขติ ฯ ๒๖ ฯ
คนพาล ทรามปัญญา มักมัวประมาทเสีย ส่วนคนฉลาด ย่อมรักษาความไม่ประมาท เหมือนรักษาทรัพย์อันประเสริฐ
The ignorant, foolish folk Induge in heedlessness, But the wise preserve heedfulness As their greatest treasure.
๒๗. มา ปมาทมนุยุญฺเชถ มา กามรติสนฺถวํ อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต ปปฺโปติ วิปุลํ สุขํ ฯ ๒๗ ฯ
พวกเธออย่ามัวประมาท อย่ามัวเอาแต่สนุกยินดีในกามคุณอยู่เลย ผู้ไม่ประมาท เพ่งพินิจตามความเป็นจริงเท่านั้น จึงจะบรรลุถึงความสุขอันไพบูลย์ได้
Devote not yourselves to negligence; Have no intimacy with sensuous delights. The vigilant, meditative person Attains sublime bliss.
๒๘. ปมาทํ อปฺปมาเทน ยถา นุทติ ปณฺฑิโต ปญฺญาปาสาทมารุยฺห อโสโก โสกินี ปชํ ปพฺพตฎฺโฐว ภุมฺมฎฺเฐ ธีโร พาเล อเวกฺขติ ฯ ๒๘ ฯ
เมื่อใดบัณฑิตกำจัดความประมาทด้วยความไม่ประมาท เมื่อนั้นเขานับว่าได้ขึ้นสู่ "ปราสาทคือปัญญา" ไร้ความเศร้าโศก สามารถมองเห็นประชาชน ผู้โง่เขลา ผู้ยังต้องเศร้าโศกอยู่ เหมือนคนยืนบนยอดภูเขา มองลงมาเห็นฝูงชนที่ยืนอยู่บนพื้นดิน ฉะนั้น
When banishing carelessness by carefulness, The sorrowless, wise one ascends the terrace of wisdom And surveys the ignorant, sorrowing folk As one standing on a mountain the groundlings.
๒๙. อปฺปมตฺโต ปมตฺเตสุ สุตฺเตสุ พหุชาคโร อพลสฺสํว สีฆสฺโส หิตฺวา ยาติ สุเมธโส ฯ ๒๙ ฯ
ผู้มีปัญญามักไม่ประมาท เมื่อคนอื่นพากันประมาท และตื่น เมื่อคนอื่นหลับอยู่ เขาจึงละทิ้งคนเหล่านั้นไปไกล เหมือนม้าฝีเท้าเร็ว วิ่งเลยม้าแกลบ ฉะนั้น
Heedful among the heedless, Wide-awake among those asleep, The wise man advances As a swift horse leaving a weak nag behind.
๓๐. อปฺปมาเทน มฆวา เทวานํ เสฎฺฐตํ คโต อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ ปมาโท ครหิดต สทา ฯ ๓๐ ฯ
ท้าวมฆวานได้เป็นใหญ่กว่าทวยเทพ เพราะผลของความไม่ประมาท บัณฑิตจึงสรรเสริญความไม่ประมาท และติเตียนความประมาททุกเมื่อ
By vigilance it was that Indra attained the lordship of the gods. Earnestness is ever praised, Carelessness is ever despised.
๓๑. อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ ปมาเท ภยทสิสิ วา สญฺโญชนํ อณุ ถูลํ ฑหํ อคฺคีว คจฺฉติ ฯ ๓๑ * ฯ
ภิกษุผู้ยินดีในความไม่ประมาท เห็นภัยในความประมาท ย่อมเผากิเลสเครื่องผูกมัดได้ เหมือนไฟเผาเชื้อทุกชนิด
The bhikkhu who delights in earnesstness And discerns dangers in negligence, Advances, consuming all fetters, Like fire burning fuel, both small and great.
* ภยทสฺสิ วา ที่ถูกเขียนภยทสฺสี วา แต่สระอี เป็น อิ ด้วยอำนาจ ฉันทลักษณ์ อีกนัยหนึ่งเขียนติดกันเป็น ภยทสฺสิวา
๓๒. อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ ปมาเท ภยทสฺสิ วา อภพฺโพ ปริหานาย นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก ฯ ๓๒ ฯ
ภิกษุผู้ไม่ประมาท เห็นภัยในความประมาท ไม่ม่ทางเสื่อม ย่อมอยู่ใกล้นิพพานเป็นแน่แท้
The bhikkhu who delights in earnestness, And discerns dangers in negligence, Is not lisble to fall away; He is certainly in the presence of Nibbana.
{gotop}
๓. หมวดจิต The MIND
๓๓. ผนฺทนํ จปลํ จิตฺตํ ทุรกฺขํ ทุนฺนิวารยํ อุชุ กโรติ เมธาวี อุชุกาโรว เตชนํ ฯ ๓๓ ฯ
จิตดิ้นรน กลับกลอก ป้องกันยาก ห้ามยาก คนมีปัญญาสามารถดีดให้ตรงได้ เหมือนช่างศรดัดลูกศร
The flickering , fickle mind, Difficult to guard, difficult to control, The wise man straightens, As a fletcher straightens an arrow.
๓๔. วาริโชว ถเล ขิตฺโต โอกโมกต อุพฺภโต ปริผนํทติทํ จิตฺตํ มารเธยฺยํ ปหาตเว ฯ ๓๔ ฯ
มัสยาถูกเขาจับโยนไปบนบก ย่อมดิ้นรน เพื่อจะกลับไปยังแหล่งน้ำที่เคยอาศัย จิตใจเราก็เช่นเดียวกัน ดิ้นรนไปหากามคุณ เพราะฉะนั้น จึงควรละเว้นกามคุณเสีย
Like a fish drawn its watery abode And thrown upon land, Even so does the mind flutter, Hence should the realm of passions be shunned.
๓๕. ทุนฺนิคฺคหสฺส ลหุโน ยตฺถกามนิปาติโน จิติตสิส ทมโถ สาธุ จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ ฯ ๓๕ ฯ
จิตควบคุมยาก เปลี่ยนแปลงเร็ว ใฝ่ในอารมณ์ตามที่ใคร่ ฝึกจิตเช่นนั้นได้เป็นการดี เพราะจิตที่ฝึกดีแล้ว นำความสุขมาให้
Good is it to control the mind Which is hard to check and swift And flits wherever it desires. A subdued mind is conducive to happiness.
๓๖. สุทุทฺทสั สุนิปุณํ ยตฺถกามนิปาตินํ จิตฺตํ รกิเขถ เมธาวี จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวหํ ฯ ๓๖ ฯ
จิตเห็นได้ยาก ละเอียดยิ่งนัก มักใฝ่ในอารมณ์ตามที่ใคร่ ผู้มีปัญญาจึงควรควบคุมจิตไว้ให้ดี เพราะจิตที่ควบคุมได้แล้ว นำสุขมาให้
Hard to perceive and extremely subtle is this mind, It roams wherever it desires. Let the wise man guard it; A guarded mind is conducive to happiness.
๓๗. ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ฯ ๓๗ ฯ
จิตท่องเที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ใครควบคุมจิตนี้ได้ ย่อมพ้นจากบ่วงมาร
Faring afar, solitary, incorporeal Lying in the body, is the mind. Those who subdue it are freed From the bond od Mara.
๓๘. อนวฎฺฐิตจิตฺตสิส สทฺธมฺมํ อวิชานโต ปริปุลวปสาทสฺส ปญฺญา น ปริปูรติ ฯ ๓๘ ฯ
ปัญญาย่อมไม่บริบูรณ์ แก่ผู้มีจิตไม่มั่นคง ไม่รู้พระสัทธรรม มีความเลื่อมใสไม่จริงจัง
He whose mind is inconstant, He who knows not the true doctrine, He whose confidence wavers- The wisdom of such a one is never fulfilled.
๓๙. อนวสฺสุตจิตฺตสฺส อนนุวาหตเจตโส ปุญฺญปาปปหีนสฺส นตฺถิ ชาครโต ภยํ ฯ ๓๙ ฯ
ผู้มีสติตื่นตัวอยู่เนืองนิตย์ มีจิตเป็นอิสระจากราคะและโทสะ ละบุญและบาปได้ ย่อมไม่กลัวอะไร
He who is vigilant, He whose mind is not overcome by lust and hatred, He who has discarded both good and evil- For such a one there is no fear.
๔๐. กุมภูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา นครูปมํ จิตฺตมิทํ ถเกตฺวา โยเชถ มารํ ปญฺญาวุเธน ชิตญฺจ รกฺเข อนิเวสโน สิยา ฯ ๔๐ ฯ
เมื่อรู้ว่าร่างกายนี้แตกดับง่ายเหมือนหม้อน้ำ พึงป้องกันจิตให้มั่นเหมือนป้องกันเมืองหลวง แล้วพึงรบกับพญามารด้วยอาวุธคือปัญญา เมื่อรบชนะแล้วพึงรักษาชัยชนะนั้นไว้ ระวังอย่าตกอยู่ในอำนาจมารอีก
Realizing that body is fragile as a pot, Establishing one’s mind as firm as a fortified city, Let one attack let one guard one’s conqust And afford no rest to Mara.
๔๑. อจิรํ วตยํ กาโย ปฐวึ อธิเสสฺสติ ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ นิรตฺถํว กลิงฺครํ ฯ ๔๑ ฯ
อีกไม่นาน ร่างกายนี้ จักปราศจากวิญญาณ ถูกทอดทิ้ง ทับถมแผ่นดิน เหมือนท่อนไม้อันหาประโยชน์มิได้
Soon, alas! will this body lie Upon the ground, unheeded, Devoid of consciousness, Even as useless log.
๔๒. ทิโส ทิสํ ยนฺตํ กยิรา เวรี วา ปน เวรินํ มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ ปาปิดย น ตโต กเร ฯ ๔๒ ฯ
จิตที่ฝึกฝนผิดทาง ย่อมทำความเสียหายได้ ยิ่งกว่าศัตรูทำต่อศัตรู หรือคนจองเวรทำต่อคนจองเวร
Whatever harm a foe may do to a foe, Or a hater to a hater, An ill-directed mind Can harm one even more.
๔๓. น ตํ มาตา ปิตา กยิรา อญฺเญ วาปิจ ญาตกา สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ เสยฺยโส นํ ตโต กเร ฯ ๔๓ ฯ
มารดาก็ทำให้ไม่ได้ บิดาก็ให้ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้ แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้อย่างประเสริฐด้วย
What neither mother ,nor father, Nor any other relative can do, A well-directed mind does And thereby elevates one.
{gotop}
๔. หมวดดอกไม้ THE FLOWERS
๔๔. โก อิมํ ปฐวึ วิเชสฺสติ ยมโลกญฺจ อิมํ สเทวกํ โก ธมฺมปทํ สุเทสิตํ กุสโล ปุปฺผมิว ปเจสฺสติ ฯ ๔๔ ฯ
ใครจักครองแผ่นดินนี้ พร้อมทั้งยมโลก และเทวโลก ใครจักเลือกเฟ้นพระธรรมบท ที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว เหมือนนายมาลาการผู้ฉลาด เลือกเก็บดอกไม้
Who will conquer this earth(life) With Yama’s realm and with celestial world? Who will investigate the well-taught Dhamma-Verses As a skilful garland-maker plucks flowers?
๔๕. เสโข ปฐวึ วิเชสฺสติ ยมโลกญฺจ อิมํ สเทวกํ เสโข ธมฺมปทํ สุเทสิตํ กุสโล ปุปฺผมิว ปเจสฺสติ ฯ ๔๕ ฯ
พระเสขะจักครองแผ่นดินนี้ พร้อมทั้งยมดลกและเทวโลก พระเสขะจักเลือกเฟ้นพระธรรมบท ที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว เหมือนนายมาลาการผู้ฉลาด เลือกเก็บดอกไม้
A learner(sekha) will conquer this earth With Yama’s realm and with celestial world. He will investigate the well-taught Dhamma-Verses As a skilful garland-maker plucks flower.
๔๖. เผณูปมํ กายมิทํ วิทิตฺวา มรีจิกมฺมํ อภิสมฺพุธาโน เฉตฺวาน มารสฺส ปปุปฺผกานิ อทสฺสนํ มจฺจุราชสฺส คจฺเฉ ฯ ๔๖ ฯ
เมี่อรู้ว่าร่างกายนี้แตกสลายง่าย และว่างเปล่า เช่นเดียวกับฟองน้ำ และพยับแดด ก็ควรทำลายบุษปศรของกามเทพ ไปให้พ้นทัศนวิสัยของมัจจุราชเสีย
Perciving this body to be similar unto foam And comprehending its mirage-nature, One should destroy the flower-tipped arrows of Love And pass beyond the sight of the King of Death.
๔๗. ปุปฺผานิ เหว ปจนนฺตํ พิยาสตฺตมนสํ นรํ สุตฺตํ คามํ มโหโฆว มจฺจุ อาทาย คจฺฉติ ฯ ๔๗ ฯ
มฤตยูฉุดคร่าคนผู้มัวเก็บดอกไม้ (กามคุณ) มีใจเกี่ยวข้องอยู่ในกามคุณไป เหมือนห้วงน้ำใหญ่หลากมา พัดพาเอาชาวบ้านผู้หลับไหลไป
He who gathers flowers of sensual pleasure, Whose mind is distracted- Death carries him off As the great flood a sleeping village.
๔๘. ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ พฺยาสตฺตมนสํ นรํ อติตฺตํเยว กาเมสุ อนฺตโก กุรุเต วสํ ฯ ๔๘ ฯ
ผู้ที่มัวเก็บดอกไม้ (กามคุณ) เพลินอยู่ มีจิตใจข้องอยู่แต่ในกามคุณไม่รู้จักอิ่ม มักตกอยู่ในอำนาจมฤตยู
He who gathers flowers of sensual pleasures, Whose mind is distracted And who is insatiate in desire- Him death brings under its sway.
๔๙. ยถาปิ ภมโร ปุปฺผํ วณฺณคนฺธํ อเหฐยํ ปเลติ รสมาทาย เอวํ คาเม มุนี จเร ฯ ๔๙ ฯ
มุนีพึงจาริกไปในเขตคาม ไม่ทำลายศรัทธาและโภตะของชาวบ้าน ดุจภมรดูดรสหวานของบุปผชาติแล้วจากไป ไม่ให้สีและกลิ่นชอกช้ำ
As a bee takes honey from the flowers, Leaving it colour and fragrance unharmed, So should the sage wander in the village.
๕๐. น ปเรสํ วิโลมานิ น ปเรสํ กตากตํ อตฺตนาว อเวกฺเขยฺย กตานิ อกตานิ จ ฯ ๕๐ ฯ
ไม่ควรแส่หาความผิดผู้อื่น หรือธุระที่เขาทำแล้วหรือยังไม่ทำ ควรตรวจดูเฉพาะกิจ ที่ตนทำหรือยังไม่ทำเท่านั้น
Pay not attention to the faults of others, Things done or left undone by others, Consider only what by oneself Is done or left undone.
๕๑. ยถาปิ รุจิรํ ปุปฺผํ วณฺณวนิตํ อคนฺธกํ เอวํ สุภาสิตา วาจา อผลา โหติ อกุพฺพโต ฯ ๕๑ ฯ
วาจาสุภาสิต ของผู้ทำไม่ได้ตามพูด ย่อมไม่มีประโยขน์อะไร ดุจดอกไม้สีสวย แต่ไร้กลิ่น
As a flower that is lovely And colourful,but scentless, Even so fruitless is the well-spoken word Of one who follows it not.
๕๒. ยถาปิ รุจิรํ ปุปฺผํ วณฺณวนฺตํ สคนฺธกํ เอวํ สุภาสิตา วาจา สผลา โหติ สุกุพฺพโต ฯ ๕๒ ฯ
วาจาสุภาษิต ของผู้ทำได้ตามพูด ย่อมอำนวยผลดี ดุจดอกไม้สีสวยและมีกลิ่นหอม
As a flower that is lovely, Colourful and fragrant, Even so fruitful is the well-spoken word Of one who practises it.
๕๓. ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา กยิรา มาลาคุเณ พหู เอวํ ชาเตน มจฺเจน กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุ ฯ ๕๓ ฯ
เมื่อเกิดมาแล้วจะต้องตาย ก็ควรสร้างบุญกุศลไว้ให้มาก เหมือนนายมาลาการร้อยพวงมาลัย เป็นจำนวนมากจากกองดอกไม้
As from a heap of flowers Many kinds of garlands can be made, So many good deeds should be done By one born a mortal.
๕๔. น ปุปฺผคนโธ ปฏิวาตเมติ น จนฺทนํ ตครมลฺลิกา วา สตญฺจ คนฺโธ ปฏิวาตเมติ สพฺพา ทิสา สปฺปุริโส ปวายติ ฯ ๕๔ ฯ
กลิ่นปุปผชาติก็หอมทวนลมไม่ได้ กลิ่นจันทน์ กฤษณา หรือดอกมะลิ ก็หอมทวนลมไม่ได้ แต่กลิ่นสัตบุรุษหอมทวนลมได้ สัตบุรุษย่อมหอมฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ
The perfume of flower blows not againts the wind, Nor does the fragrance of sandal-wood, Tagara andjasmine, But the fragrance of the virtuous blows against the wind The virtuous man pervades all directions.
๕๕. จนฺทนํ ตครํ วาปิ อุปฺปลํ อถ วสฺสิกี เอเตสํ คนฺธชาตานํ สีลคนฺดธ อนุตฺตโร ฯ ๕๕ ฯ
กลิ่นศีลหอมยิ่งกว่า ของหอมเหล่านี้ คือ จันทน์ กฤษณา ดอกอุบล และกะลำพัก
Sandal-wood, Tagara, lotus and wild jasmine- Of all these kinds of fragrance, The fragrance of virtue is by far the best.
๕๖. อปฺปมตฺโต อยํ คนฺโธ ยายํ ตครจนฺทนี โย จ สีลวตํ คนฺโธ วาติ เทเวสุ อุตฺตโม ฯ ๕๖ ฯ
กฤษณา หรือจันทน์ มีกลิ่นหอมน้อยนัก แต่กลิ่นหอมของท่านผู้ทรงศีลประเสริฐนัก หอมฟุ้งกระทั่งถึงทวยเทพยดา
Little is the fragrance of Tagara And that of sandal-wood, But the fragrance of virtue is excellent And blows even among the devas.
๕๗. เตสํ สมฺปนฺนสีลานํ อปฺปมาทวิหารินี สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ มาโร มคฺคํ น วินฺทติ ฯ ๕๗ ฯ
มารย่อมค้นไม่พบวิถีทาง ของผู้ทรงศีลผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท ผู้หลุดพ้นจากอาสวกิเลสเพราะรู้ชอบ
Of those who possess these virtues, Who live without negligence, Who are freed by perfect knowledge- Mara finds not their way.
๕๘. ยถา สงฺการธานสฺมึ อุชุฌิตสฺมึ มหาปเถ ปทุมํ ตตฺถ ชาเยถ สุจิคนฺธํ มโนรมํ ฯ ๕๘ ฯ
ดอกบัวมีกลิ่นหอมรื่นรมย์ใจ เกิดบนสิ่งปฏิกูล ที่เขาทิ้งไว้ไกล้ทางใหญ่ ฉ้นใด
Just as on a heap of rubbish Thrown upon the highway Grows the lotus sweetly fragrant And delighting the heart.
๕๙. เอวํ สงฺการภูเตสุ อนฺธภูเต ปุถุชฺชเน อติดรจติ ปญฺญาย สมฺมาสมิพุทฺธสาวโก ฯ ๕๙*ฯ
ท่ามกลางหมู่ปุถุชนผู้โง่เขลา ผู้เป็นเสมือนสิ่งปฏิกูล พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมรุ่งเรืองด้วยปัญญา ฉันนั้น
Even so among those blinded mortals Who are like rubbish, The disciple or the Fully Enligtened one Shines with exceeding glory by his wisdom.
* สงฺการภูเตสุ น่าจะแยกกันเป็น สงฺการภูเต สุ สุ เป็นนิบาต แต่พระอรรถกถาจารย์ อธิบายในทำนองว่า คำนี้ใช้เป็นบทขยาย ปุถุชฺชเน ที่ประกอบวิภัติต่างพจน์กัน ให้ถือเป็นข้อยกเว้น เรียกว่า วิเสสนวจนวิปัลลาส หมายถึง บทวิเศษณ์ต่างพจน์กัน
{gotop}
๕. หมวดคนพาล THE FOOL
๖๐. ทีฆา ชาครโต รตฺติ ทีฆํ สนฺตสฺส โยชนํ ทีโฆ พาลาน สํสาโร สทฺธมฺมํ อวิชานตํ ฯ ๖๐ ฯ
ราตรีนานสำหรับคนนอนไม่หลับ ระยะทางโยชน์หนึ่งไกลสำหรับผู้ล้าแล้ว สังสารวัฎยาวนานสำหรับคนพาล ผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม
Long is the night to the wakeful, Long is the Yojana to the weary, Long is Samsara to the foolish Who know not the true doctrine.
๖๑. จรญฺเจ นาะคจฺเฉยฺย เสยฺยํ สทิสมตฺตโน เอกจริยํ ทฬฺหํ กยิรา นตฺถิ พาเล สหายตา ฯ ๖๑ ฯ
หากแสวงหาไม่พบเพื่อนที่ดีกว่าตน หรือเพื่อนที่เสมอกับตน ก็พึงเที่ยวไปคนเดียว เพราะมิตรภาพ ไม่มีในหมู่คนพาล
If, as he fares, he finds no companion Who is better or equal, Let him firmly pursue his solitary course; There is no fellowship with the foot.
๖๒. ปุตฺตา นตฺถิ ธน มตฺถิ อิติ พาโล วิหญฺญติ อตฺตา หิ อตฺตโน นตฺถิ กุโต ปุตฺตา กุโต ธนํ ฯ ๖๒ ฯ
คนโง่มัวคิดวุ่นวายว่า เรามีบุตร เรามีทรัพย์ เมื่อตัวเขาเองก็ไม่ใช่ของเขา บุตรและทรัพย์จะเป็นของเขาได้อย่างไร
‘I have some, I have wealth’; So thinks the food and is troubled. He himeself is not his own. How then are sons,how wealth?
๖๓. โย พาดล มญฺญติ พาลยฺยํ ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส พาโล จ ปณฺฑิตามานี ส เว พาโลติ วุจฺจติ ฯ ๖๓ ฯ
คนโง่รู้ตัวว่าโง่ ยังมีทางเป็นบัณฑิตได้บ้าง แต่โง่แล้วอวดฉลาด นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้
A fool aware of his stupidity Is in so far wise, But the fool thinking himself wise Is called a fool indeed.
๖๔. ยาวชีวมฺปิ เจ พาโล ปณฺฑิตํ ปฏิรุปาสติ น โส ธมฺมํ วิชานาติ ทพฺพิ สูปรสํ ยถา ฯ ๖๔ ฯ
ถึงจะอยุ่ใกล้บัณฑิต เป็นเวลานานชั่วชีวิต คนโง่ก็หารู้พระธรรมไม่ เหมือนจวักไม่รู้รสแกง
Though through all his life A fool associates with a wise man, He yet understands not the Dhamma, As the spoon the flavour of soup.
๖๕. มุหุตฺตมฺปิ เจ วิญฺญู ปณฺฑิตํ ปยิรุปาสติ ขิปฺปํ ธมฺมํ วิชานาติ ชิวหา สูปรสํ ยถา ฯ ๖๕ ฯ
ปัญญาชนคบบัณฑิต แม้เพียงครู่เดียว ก็พลันรู้แจ้งพระธรรม เหมือนลิ้นรู้รสแกง
Though, for a moment only, An intelligent man associates with a wise man, Quickly he understands the Dhamma, As the tougue the flavour of soup.
๖๖. จรนฺติ พาลา ทุมฺเมธา อมิตฺเตเนว อติตนา กโรนฺตา ปาปกํ กมฺมํ ยํ โหติ กฎุกปฺผลํ ฯ ๖๖ ฯ
เหล่าคนพาลปัญญาทราม ทำตัวเองให้เป็นศัตรูของตัวเอง เที่ยวก่อแต่บาปกรรรมที่มีผลเผ็ดร้อน
Fools of little wit Behave to themselves as enemies, Doing evil deeds The fruits wherof are bitter.
๖๗. น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํ กตฺวา อนุตปฺปติ ยสฺส อสฺสุมุโข โรทํ วิปากํ ปฏิเสวติ ฯ ๖๗ ฯ
กรรมใดทำแล้วทำให้เดือดร้อนภายหลัง อีกทั้งทำให้ร้องไห้น้ำตานอง รับสนองผลของการกระทำ กรรมนั้นไม่ดี
That deed is not well done, After doing which one feels remorse And the fruit whereof is received With tears and lamentations.
๖๘. ตญฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ ยส์ส ปตีดต สุมโน วิปากํ ปฏิเสวติ ฯ ๖๘ ฯ
กรรมใดทำแล้วไม่เดือดร้อนภายหลัง ทั้งผู้กระทำก้เบิกบานสำราญใจ ได้เสวยผลของการกระทำ กรรมนั้นดี
Well done is thst deed which, done, brings no regret; The fruit whereof is received The fruit whereof is received With delight and satisfaction.
๖๙. มธุวา มญฺญตี พาดล ยาว ปาปํ น ปจฺจติ ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ อถ พาโล ทุกฺขํ นิคจฺฉติ ฯ ๖๙ ฯ
ตลอดระยะเวลาที่บาปยังไม่ให้ผล คนพาลสำคัญบาปหวานปานน้ำผึ้ง เมื่อใดบาปให้ผล เมื่อนั้นเขาย่อมได้รับทุกข์
An evil deed seems sweet to the fool so long as it does not bear fruit; but when it ripens, The fool comes to grief.
๗๐. มาเส มาเส กุสคฺเคน พาโล ภุญฺเชถ โภชนํ น โส สงฺขาตธมฺมานํ กลํ อคฺฆติ โสฬสึ ฯ ๗๐ ฯ
คนพาลถึงจะบำเพ็ญตบะ โดยเอาปลายหญ้าคาจิ้มอาหารกินทุกเดือน การปฏิบัติของเขาไม่เท่าหนึ่งในสิบหกส่วน ของการปฏิบัติของท่านผู้บรรลุธรรม
Month after month the fool may eat his food With the tip of Kusa srass; Nonetheless he is not worth the sixteenth part Of those who have well understoood the Truth.
๗๑. น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ สชฺชุ ขีรํว มุจฺจติ ฑหนฺติ พาลมเนฺวติ ภสฺมาจฺฉนฺโนว ปาวโก ฯ ๗๑ ฯ
กรรมชั่วที่ทำแล้วยังไม่ให้ผลทันทีทันใด เหมือนนมรีดใหม่ๆ ไม่กลายเป็นนมเปรี้ยวในทันที แต่มันจะค่อยๆ เผาผลาญผู้กระทำในภายหลัง หมือนไฟไหม้แกลบ
An evil deed committed Does not immediately bear fruit, Just as milk curdles not at once; Smouldering life covered by ashes, It follows the fool.
๗๒. ยาวเทว อนติถาย ญตฺตํ พาลสฺส ชายติ หนฺติ พาลสฺส สุกฺกํสํ มุทฺธมสฺส วิปาตยํ ฯ ๗๒ ฯ
คนพาลได้ความรู้มา เพื่อการทำลายถ่ายเดียว ความรู้นั้นทำลายคุณความดีเขาสิ้น ทำให้มันสมองของเขาตกต่ำไป
The fool gains knowledge Only for his ruin; It destroys his good actions And cleaves his head.
๗๓. อสนฺตํ ภาวมิจฺเฉยฺย ปุเรกฺขารญฺจ ภิกฺขุสุ อาวาเสสุ จ อิสฺสริยํ ปูชา ปรกุเลสุ จ ฯ ๗๓ ฯ
ภิกษุพาลปรารถนาชื่อเสียงเกียรติยศที่ไม่เหมาะ อยากเป็นใหญ่กว่าพระภิกษุทั้งหมด อยากเป็นเจ้าอาวาส อยากได้รับบูชาสักการะจากชาวบ้านทั้งหลาย
A foolish monk desires undue reputation, Precedence among monks, Authority in the monasterics, Honour among other families.
๗๔. มเมว กต มญฺญนฺตุ คิหี ปพฺพชิตา อุโภ มเมว อติวสา อสฺสุ กิจฺจาจฺเจส กิสฺมิจิ อิติ พาลสฺส สงฺกปฺโป อิจฺฉา มาโน จ วฑฺฒติ ฯ ๗๔ ฯ
“ขอให้คฤหัสถ์ และบรรพชิต จงสำคัญว่า เราเท่านั้นทำกิจนี้ ขอให้เขาเหล่านั้นอยู่ในบังคับบัญชาของเรา ไม่ว่ากิจการใหญ่หรือเล็ก” ภิกษุพาลมักจะคิดใฝ่ฝันเช่นนี้ ความทะเยอทะยาน และความหยิ่งก็พลอยเพิ่มขึ้น
‘Let both laymen and monks think, By me only was this done; In every work, great or small, Let them refer to me’. Such is the ambitin of the fool; His desire and pride increase.
๗๕. อญฺญา หิ ลาภูปนิสา อญฺญา นิพฺพานคามินี เอวเมตํ อภิญฺญาย ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก สกฺการํ นาภนนฺเทยฺย วิเวกมนุพฺรูหเย ฯ ๗๕ ฯ
ทางหนึ่งแสวงหาลาภ ทางหนึ่งไปนิพพาน รู้อย่างนี้แล้ว ภิกษุพุทธสาวก ไม่ควรไยดีลาภสักการะ ควรอยู่อย่างสงบ
One is the way to worldly gain; To Nibbana another leads. Clearly realizing this, The bhikkh, disciple of the Buddha, Should not delight in worldly favour, But devote himself to solitude.
{gotop}
๖. หมวดบัณฑิต The Wise
๗๖. นิธีนํ ว ปวตฺตารํ ยํ ปสฺเส วชฺชทสฺสินํ นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช ตาทิสํ ภชมานสฺส เสยฺโย โหติ น ปาปิโย ฯ ๗๖ ฯ
ถ้าพบนักปราชญ์ที่คอยว่ากล่าวตักเตือนชี้ข้อบกพร่อง เสมือนผู้บอกขุมทรัพย์ให้ ควรคบหาบัณฑิตเช่นนั้น เพราะเมื่อคบหาคนเช่นนั้นจะมีแต่ความเจริญไม่มีความเสื่อม
Should one see a wise man, Who, like a revealer of treasures, Points out faults and reproves, Let one associate with such a one, Well is it, not ill, to associate with such a one.
๗๗. โอวเทยฺยานุสาเสยฺย อสพฺภา จ นิวารเย สตํ หิ โส ปิโย โหติ อสตํ โหติ อปฺปิโย ฯ ๗๗ ฯ
จงยอมตนให้บัณฑิตตักเตือนพร่ำสอน และกีดกันจากความชั่ว คนที่คอยสั่งสอนเช่นนี้ คนดีรัก แต่คนชั่วเกลียด
Let him admonish, exhort, And shield from wrong. Truly, pleasing is he to the good, Displeasing is he to the bad.
๗๘. น ภเช ปาปเก มิตฺเต น ภเช ปุริสาธเม ภเชถ มิตฺเต กลฺยาเณ ภเชถ ปุริสุตฺตเม ฯ ๗๘ ฯ
ไม่พึงคบมิตรชั่ว ไม่พึงคบคนเลวทราม พึงคบกัลยาณมิตร พึงคบคนที่ดีเยี่ยม
Associate not with evil friends; Associate not with mean men; Associate with good friends; Associate with noble men.
๗๙. ธมฺมปีติ สุขํ เสติ วิปฺปสนฺเนน เจตสา อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม สทา รมติ ปญฺฑิโต ฯ ๗๙ ฯ
ผู้ดื่มรสพระธรรมมีใจสงบ ย่อมอยู่เป็นสุข บัณฑิตย่อมยินดีในธรรม ที่พระอริยเจ้าแสดงไว้เสมอ
He who imbibes the Dharma Lives happily with the mind at rest. The wise man ever delights In the Dharma revealed by the Noble.
๘๐. อุทฺกํ หิ นยนฺติ เนตฺติกา อุสุการา นมยนฺติ เตชนํ ทารุ นมยนฺติ ตจฺฉกา อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา ฯ ๘๐ ฯ
ชาวนาไขน้ำเข้านา ช่างศรดัดลูกศร ช่างไม้ถากไม้ บัณฑิตฝึกตนเอง
Irrigators lead water; Fletchers fashion shafts; Carpenters bend wood; The wise tame themselves.
๘๑. เสโล ยถา เอกฆโน วาเตน น สมีรติ เอวํ นินฺทาปสํสาสุ น สมิญฺชนฺติ ปณฺฑิตา ฯ ๘๑ ฯ
ขุนเขาไม่สะเทือนเพราะแรงลมฉันใด บัณฑิตก็ไม่หวั่นไหวเพราะนินทาหรือสรรเสริญฉันนั้น
Even as a solid rock Is not shaken by the wind. So do the wise remain unmoved By praise or blame.
๘๒. ยถาปิ รหโท คมฺภีโร วิปฺปสนฺโน อนาวิโล เอวํ ธมฺมานิ สุตฺวาน วิปฺปสีทนฺติ ปณฺฑิตา ฯ ๘๒ ฯ
ห้วงน้ำลึกใสสะอาดสงบฉันใด บัณฑิตฟังธรรมแล้วย่อมมีจิตใจสงบฉันนั้น
Just as a lake, deep, clear, and still Even so, on hearing the Dharma, The wise become exceedingly peaceful.
๘๓. สพฺพตฺถ เว สปฺปุริสา จชนฺติ น กามกามา ลปยนฺติ สนฺโต สุเขน ผุฏฐา อถวา ทุกฺเขน น อุจฺจาวจํ ปณฺฑิตา ทสฺสยนฺติ ฯ ๘๓ ฯ
สัตบุรุษยอมเสียสละได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มัวพร่ำเพ้อแต่เรื่องกามคุณ ไม่ว่าได้รับสุขหรือทุกข์ บัณฑิตไม่แสดงอาการยินดียินร้าย (เกินกว่าเหตุ)
The good renounce everything And do not speak hankering after desires. Touched by sorrow or happiness, The wise become neither elated nor depressed.
๘๔. น อตฺตเหตุ น ปรสฺส เหตุ น ปุตฺตมิจฺเฉ น ธนํ น รฏฺฐํ น อิจฺเฉยฺย อธมฺเมน สมิทฺธิมตฺตโน ส สีลวา ปญฺญวา ธมฺมิโก สิยา ฯ ๘๔ ฯ
ไม่ควรทำชั่วเพราะเห็นแก่ตัว หรือคนอื่น ไม่ควรปรารถนาบุตร ทรัพย์ รัฐ หรือความสำเร็จ แก่ตนโดยทางที่ไม่ชอบธรรม ควรมีศีล มีปัญญา มั่นอยู่ในธรรม
Neither for one's own nor another's sake Should one commit any wrong, Nor, by unjust means, should one desire Sons, wealth, state or one's own success. He should be virtuous, wise and righteous.
๘๕. อปฺปกา เต มนุสฺเสสุ เย ชนา ปารคามิโน อถายํ อิตรา ปชา ตีรเมวานุธาวติ ฯ ๘๕ ฯ
ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย น้อยคนนักจักข้ามฝั่งไปได้ ส่วนคนนอกนี้ ก็ได้แต่วิ่งเลียบเลาะริมฝั่ง
Few are there among men Who go to the further shore, The rest of this mankind Only run up and down the hither bank.
๘๖. เย จ โข สมฺมทกฺขาเต ธมฺเม ธมฺมานุวตฺติโน เต ชนา ปารเมสฺสนฺติ มจฺจุเธยฺยํ สุทุตฺตรํ ฯ ๘๖ ฯ
ผู้ประพฤติตามคำสั่งสอนที่ตรัสดีแล้ว ย่อมข้ามอาณาจักรพญามาร ที่ข้ามได้แสนยาก ไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง (คือพระนิพพาน)
Those who conform to the Dharma That has been well expounded - Those are they who will reach the Beyond, Crossing the realm of death, so hard to cross.
๘๗. กณฺหํ ธมฺมํ วิปฺปหาเย สุกฺกํ ภาเวถ ปณฺฑิโต โอกา อโนกมาคมฺม วิเวเก ยตฺถ ทูรมํ ฯ ๘๗ ฯ
บัณฑิตพึงละธรรมดำ (บาป) สร้างสมธรรมขาว (บุญ) เมื่อละบ้านเรือนมาถือเพศบรรพชิตแล้ว ก็ควรยินดีในความสงัดวิเวก ซึ่งยากที่คนธรรมดาจะยินดีได้
Coming from home to the homeless, The wise man should abadon dark state And cultivate the bright. He should seek great delight in solitude, So hard to enjoy.
๘๘. ตตฺราภิรติมิจฺเฉยฺย หิตฺวา กาเม อกิญฺจโน ปริโยทเปยฺย อตฺตานํ จิตฺตเกฺลเสหิ ปณฺฑิโต ฯ ๘๘ ฯ
บัณฑิตพึงละกามคุณ สลัดอาลัยหมดสิ้น ทำตนให้บริสุทธิ์ ปราศจากเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต
Given up sensual pleasures, With no attachment, The wise man should cleanse himself Of the impurities of the mind.
๘๙. เยสํ สมฺโพธิยงฺเคสุ สมฺมา จิตฺตํ สุภาวิตํ อาทานปฏินิสฺสคฺเค อนุปาทาย เย รตา ขีณาสวา ชุติมนฺโต เต โลเก ปรินิพฺพุตา ฯ ๘๙ ฯ
ท่านที่อบรมจิตใจเป็นอย่างดี ในคุณธรรมที่จะนำไปสู่การตรัสรู้ ไม่ยึดมั่น ยินดีในความปล่อยวาง ท่านเหล่านั้น เป็นพระอรหันต์ สงบ สว่าง เข้าถึงพระนิพพานแล้วในโลกนี้
Whose minds are well perfected In the Factors of Enlightenment, Who without clinging, delight in detachment- They, the corruption-free, radient ones, Have attained Nibbana in the Here-and-Now.
{gotop}
๗. หมวดพระอรหันต์ THE WORTHY